การวางแผนครอบครัวสำหรับคนไทยที่อาศัยอยู่ต่างประเทศ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลเรื่องงาน การเรียน หรือการใช้ชีวิตคู่ในอีกฟากหนึ่งของโลก มักจะเต็มไปด้วยความท้าทาย โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงเรื่อง “การมีลูก” ที่ไม่ใช่ทุกคู่จะสามารถตั้งครรภ์ได้ง่ายดายเหมือนอย่างที่ฝันไว้ หลายคนจึงหันมาพึ่งพาวิทยาการช่วยการเจริญพันธุ์ หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ IVF (In Vitro Fertilization) ซึ่งเป็นทางเลือกที่ช่วยให้หลายครอบครัวได้สมหวังในบุตร แต่คำถามที่ตามมาคือ ถ้าอยู่ต่างประเทศควรเลือกทำ IVF ที่ไหนดี กลับมาทำที่ไทยจะถูกกว่าไหม หาคำตอบในบทความนี้เลย
ทำ IVF ที่ต่างประเทศ: สะดวก แต่มีข้อจำกัด
การทำ IVF ในต่างประเทศโดยเฉพาะในประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ อังกฤษ ออสเตรเลีย หรือญี่ปุ่นนั้นมีข้อดีในแง่ความสะดวก เพราะไม่ต้องเดินทางไกล ไม่ต้องลางานหลายวัน และสามารถติดตามผลกับแพทย์ท้องถิ่นได้อย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ บางประเทศมีระบบประกันสุขภาพที่ครอบคลุมการรักษามีบุตรยากบางส่วน ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายได้บ้าง
อย่างไรก็ตาม ข้อเสียคือ “ค่าใช้จ่าย” ยังคงสูงลิ่วเมื่อเทียบกับประเทศไทย โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่ได้อยู่ในระบบประกัน หรือหากต้องทำหลายรอบ ค่าใช้จ่ายต่อรอบอาจสูงถึง 600,000 – 1,000,000 บาทในบางประเทศ อีกทั้งกฎระเบียบบางประเทศอาจเข้มงวดในการใช้เทคนิคขั้นสูง เช่น การคัดกรองพันธุกรรม (PGT) หรือการเก็บไข่/สเปิร์มในระยะยาว รวมถึงการจำกัดอายุของผู้เข้ารับการรักษา
นอกจากนี้ ในบางวัฒนธรรม แพทย์อาจไม่ได้เปิดเผยหรือให้ข้อมูลที่ละเอียดยืดหยุ่นเหมือนในประเทศไทย ซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกไม่มั่นใจ หรือไม่สามารถตัดสินใจร่วมกับแพทย์ได้อย่างอิสระ
กลับมาทำ IVF ที่ไทย: ความเชี่ยวชาญที่เป็นมิตรและประหยัดกว่า
ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีศูนย์การแพทย์เฉพาะทางด้านผู้มีบุตรยากที่ทันสมัยที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งในด้านเทคโนโลยี นวัตกรรมทางการแพทย์ และประสบการณ์ของทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ที่มีความรู้ไม่แพ้แพทย์ในประเทศชั้นนำ
หลายศูนย์รักษาในไทยสามารถให้บริการ IVF ครบวงจร ตั้งแต่การกระตุ้นไข่ ตรวจคัดกรองพันธุกรรม (PGT-A / PGT-M) ไปจนถึงการแช่แข็งไข่หรือสเปิร์มระยะยาว ด้วยค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่าต่างประเทศมาก เฉลี่ยต่อรอบอยู่ที่ประมาณ 150,000 – 400,000 บาท (ขึ้นกับเทคนิคและโปรแกรม) แต่ยังคงมาตรฐานสูง และให้บริการอย่างเป็นกันเอง เข้าใจคนไข้ไทยโดยเฉพาะ
การกลับมาทำ IVF ที่ไทยยังมีข้อดีด้าน “ความเข้าใจในวัฒนธรรมและภาษา” ซึ่งมีความสำคัญในการให้คำปรึกษาเชิงจิตวิทยาและการตัดสินใจร่วมกันระหว่างแพทย์กับคนไข้ อีกทั้งคนไทยในต่างประเทศสามารถใช้ช่วงเวลาลาพักร้อนหรือวันหยุดยาวกลับมาทำ IVF ได้ โดยสามารถวางแผนให้เหมาะสมกับรอบเดือน และกลับไปติดตามผลหรือโอนตัวอ่อนในรอบถัดไปได้อย่างยืดหยุ่น
แล้วจะเลือกทำ IVF ที่ไหนดี ? คำตอบขึ้นอยู่กับ “ปัจจัย” เหล่านี้
- อายุและภาวะเจริญพันธุ์: หากอายุมาก (โดยเฉพาะ 38 ปีขึ้นไป) และมีปัญหาทางการแพทย์เฉพาะเจาะจง ควรเลือกสถานที่ที่มีเครื่องมือวินิจฉัยทันสมัย และทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์เฉพาะทาง
- งบประมาณ: หากมีข้อจำกัดด้านการเงิน การกลับมาทำที่ไทยจะเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าในระยะยาว
- ระยะเวลาที่สามารถอยู่ในไทยได้: โปรแกรม IVF ใช้เวลาประมาณ 2–3 สัปดาห์ต่อรอบ ดังนั้นในการตัดสินใจว่าจะทำ IVF ที่ไหนดี ก็ต้องขึ้นอยู่กับเวลาว่างที่มีด้วย
- ประสบการณ์เดิมกับระบบสาธารณสุข: หากเคยผิดหวังหรือรู้สึกไม่สะดวกใจกับการรักษาในประเทศที่อยู่ อาจพิจารณากลับมาเริ่มต้นใหม่ที่ไทย
ทำ IVF ที่ไหนดี คำตอบที่ใช่อาจไม่ได้มีคำตอบเดียว
คำตอบของคำถามที่ทำ IVF ที่ไหนดีอาจไม่มีสูตรสำเร็จ แต่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ชีวิตของแต่ละคน ทั้งด้านสุขภาพ การเงิน และความพร้อมของเวลา สิ่งสำคัญคือ “อย่าปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยไม่วางแผน” เพราะโอกาสในการตั้งครรภ์จะลดลงอย่างชัดเจนเมื่ออายุมากขึ้น